โค้งอันตราย “ครึ่งปีหลัง” เศรษฐกิจหด … ไอซีที เป๋

จาก “ขาขึ้น” ของราคาน้ำมันแพง … น้ำตาลแพง … ค่ารถแพง และอีกสารพัดค่าครองชีพที่มีแต่คำว่า แพงขึ้น ตลอดช่วงครึ่งปีแรกนั้น ได้สัญญาณร้ายของเศรษฐกิจ “ขาดิ่ง” ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ … พร้อมๆกับฉุดขา ผู้ประกอบการไอซีที ให้ละล้าละลังหวั่นก้าวพลาด ทั้งยังชี้ตัวเลขการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีจนถึงสิ้นปีนี้ ส่อแววไปไม่ถึง 10% ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ และดีไม่ดีครึ่งปีหลังอาจถึงขั้นติดลบ

ขณะที่ค่ายมือถือเบอร์หนึ่ง “เอไอเอส” ยอมรับผลกระทบจากวิกฤติการเมืองกระหน่ำทำยอดลูกค้าไหลออก เป็นเหตุให้ต้อง ลดราคาแม้จะมีผลพ่วงให้เครือข่ายแย่ตามมาแต่ก็ต้องทำต้องเลือก “ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง” หากไม่ต้องการให้ยอดลูกค้า ไหลออกมากกว่านี้

เช่นเดียวกับผู้ค้ามือถือเชื่อตลาดเครื่องลูกข่ายปีนี้เข้าสู่ภาวะซบเซาหนักกว่าเก่า ยอดขายไม่กระเตื้อง ส่งผลให้มีแนวคิด ควบรวมกิจการกันดังกรณี ไออีซี กับ บลิส-เทล

ไอทีโตไม่ถึง 10% เชื่อไม่เจ็บตัวดีที่สุด

วิบูลย์ ว่อง นายกสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ไทย ให้มุมมองถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมไอทีครึ่งปีหลังว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะพบวิกฤตทั้งเศรษฐกิจ การเมืองมาระยะหนึ่ง ซึ่งจากวิกฤตดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภค มีความตื่นตระหนก และระมัดระวังการใช้จ่ายเงิน ที่ถือว่าเป็นผลกระทบที่ลงถึงกลุ่มรากหญ้าโดยตรง ส่วนทางภาครัฐ ก็ไม่มีกำลังและหยุดการใช้จ่าย

ทั้งนี้จากการประเมินการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีปีนี้ว่าจะโตประมาณ 10% นั้นจนถึงขณะนี้เห็นว่าการเติบโตอาจจะอยู่ที่ 8-9% และหากว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นหากโดยรวมเติบโตเพียง 0% ก็ถือว่าดีแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการทุกคนต้องหาวิธีการ ที่จะพยุงให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้โดยไม่เจ็บตัวมาก

เอทีซีไอชี้ตลาดชะลอรอดูสถานการณ์

จำรัส สว่างสมุทร นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย หรือ เอทีซีไอ ให้ความเห็นเกี่ยวกับ สถานการณ์ของอุตสาหกรรมไอทีครึ่งปีหลังว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทยขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ชะลอตัว ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นผลสืบเนื่องจากค่าน้ำมัน การเมือง และปัญหาต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่มีความมั่นใจ ในการลงทุน

แต่ยังมีปัจจัยที่จะเป็นตัวชี้ขาดและแก้วิกฤตดังกล่าวได้ ก็เมื่อมีการประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 จะทำให้การลงทุนของภาครัฐกับสู่สภาวะปกติ

ถึงกระนั้นคงต้องใช้เวลาสักระยะและเห็นว่างบประมาณของปี ’50 จะสามารถนำมาใช้ได้หลังเลือกตั้งแล้ว 6 เดือน โดยระหว่างนี้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ยังมีการนำงบประมาณของ ปี ’49 มาใช้ในการใช้จ่าย หรือลงทุนได้จนถึงเดือนกันยายน จึงเป็นผลให้ยังมีเม็ดเงินจับจ่ายในอุตสาหกรรมไอทีอยู่ เนื่องจากเชื่อว่าการลงทุน ด้านไอที ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจ

ส่วนทางด้านโครงการขนาดใหญ่ที่ภาครัฐได้วางไว้ รวมถึงภาคเอกชน อาจจะมีการชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน และจากการประเมินการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีตั้งแต่ต้นปีว่าว่าจะเติบโตราว 10% นั้น เห็นว่าจากสถานการณ์ปัจจุบัน อาจส่งผลให้ตัวเลขการเติบโตจนถึงสิ้นปีอาจจะไม่ถึง 10% ตามที่คาดการณ์ไว้

เอเทคคาดไอทีไทยครึ่งปีหลังถึงติดลบ

นิธิพัฒน์ ลิ่มวานิชรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอเทค คอมพิวเตอร์ จำกัด ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ ของอุตสาหกรรมไอทีครึ่งปีหลังว่า จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยที่ทรุดยาวต่อเนื่องจากปัจจัย ค่าน้ำมัน ดอกเบี้ย ค่าเงินบาท และสถานการณ์การเมืองที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีเพียง 3% เท่านั้น

และเชื่อว่าอีกครึ่งปีที่เหลือการเติบโตของไอทีในไทยอาจอยู่ที่ 0% ถึงขั้นติดลบเลยทีเดียว…

เช่นเดียวกับสถานการณ์ของเอเทคในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ที่ทำให้ต้องปรับตัวตามสภาพของตลาด เป็นผลมาจาก ปัญหาทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และปัญหาการเมืองไม่ชัดเจนทำให้ผู้ลงทุนไม่มั่นใจ ซึ่งถือเป็นเหตุผล ประการสำคัญที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศวิตกอยู่ แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เอเทคได้มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ตามสภาวการณ์จึงทำให้ที่ผ่านมาเอเทคไม่ได้รับผลกระทบ

“จากที่เอเทคได้มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาตามสภาวการณ์ จึงทำให้ที่ผ่านมาเอเทคไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไร เพราะเดินถูกทางทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตรงกันข้ามกับคู่แข่งบางรายที่พบวิกฤตหนักถึงขนาดเลือดซิบ หรือบางรายอาจมีบาดแผลฉกรรจ์”

ส่วนในครึ่งปีหลังเชื่อว่าภาพรวมยังจะเป็นลักษณะเดียวกับครึ่งปีที่ผ่านมา แต่ยังเชื่อมั่นว่าสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ และไอทียังเป็นสิ่งจำเป็นน่าจะมีการซื้อ – ขายอยู่ แต่คงไม่หวือหวาเหมือนกับยุคคอมพิวเตอร์ไอซีที และน้องเล็ก อย่างในสมัยของรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีคนแรกที่ได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น

ไอบีเอ็มเริ่มขยับตัวหาตลาดใหม่

วิษณุ ชัยวานิชศิริ รองกรรมการผู้จัดการ SIV & SI Thailand บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวกับ “Telecom Journal” ถึงการมองภาพของการเมืองที่ไม่นิ่งว่า จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านการลงทุน ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขจีดีพีที่ลดลงเรื่อยๆ ทำให้คาดว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์นั้นมีอัตรา การเติบโตที่ลดลง

แต่กระนั้นด้านเอสไอวี และเอสไอ ก็ได้มีการปรับตัวมองหาตลาดใหม่ๆ เพราะส่วนใหญ่ตลาดหลักคือ หน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมไอทีแต่จากผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ทำให้ต้องมองหาตลาดอื่นมาทดแทน

“ภาวะการเมืองที่ยังไม่ค่อยนิ่ง แต่ในครึ่งปีหลังนี้เราจะยังคงดำเนินการตามแผนเดิม แม้ตลาดในภาคราชการการชะลอตัว เช่น เมกะโปรเจ็คที่อยู่ในสภาพนิ่งสนิท แต่เซ็กเม้นท์ใหญ่ของตลาด นอกจากภาคราชการแล้วเรายังมีตลาดภาคธนาคาร ไฟแนนท์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ”

จะอย่างไรแล้วในครึ่งปีหลังตลาดเหล่านี้ยังดีอยู่ถึงจะได้รับผลกระทบบ้างแต่จะคงไม่มากนัก เพราะจากสภาวะที่ไม่นิ่ง ของการเมืองทำให้คู่ค้า หรือไอบีเอ็มเองจะหันมาดูตลาดที่เล็กลงรวมถึงตลาดรัฐวิสาหกิจที่มีงบประมาณของตนเองด้วย

ตลาดคอมไทยปรับแผนสู้

วีระ อิงคธเนศ ผู้อำนวยการฝ่ายช่องทางจำหน่าย บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวม ตลาดไอทีครึ่งปีหลังไม่เปลี่ยนจากครึ่งปีแรก อาทิ สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ แต่ประมาณช่วงครึ่งปีหลัง ของปีหน้า จะเริ่มเห็นภาพตลาดชัดเจนขึ้นหลังจากมีรัฐบาลเริ่มผลักดันงบประมาณมาลงทุนในโครงการต่างๆ มากขึ้น

อย่างไรก็ตามผู้ผลิตสินค้าไอทีในไทยยังดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการธุรกิจรับการเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้น ได้ทุกนาที ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในแง่ของการบริหารค่าใช้จ่ายตามแนวนโยบายของแต่ละบริษัท

สำหรับมองหาโอกาสและการลงทุนใหม่ที่แตกต่างกัน จากเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมคอมพิว- เตอร์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะทั้งภาครัฐบาล ธุรกิจ และผู้บริโภคนั้นคงต้องร่วมกันสร้างการยอมรับและพัฒนาให้คอมพิวเตอร์ โลคัลแบรนด์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมไอทีในไทย

เพราะที่ผ่านมาโลคัลแบรนด์ต้องพยายามแข่งกับอินเตอร์แบรนด์ แม้บางทีจะเสียเปรียบบ้างในเรื่องของมาตรฐาน คอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่โลคัลแบรนด์ได้รับมาตรฐานของ เนคเทค มองว่าเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องใช้มาตรฐาน เอฟซีซี/ยูเอล หรือ มอก. 1956 และมาตรฐาน ยูเอล หรือ มอก. 1561 ซึ่งเป็นของต่างประเทศ

จับไอทีไฮเอนด์ปั๊มยอดขาย

วิกร วิวิธคุณากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีคอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ยอดขายสินค้าไอทีครึ่งปี หลัง มีแนวโน้มปรับตัวลดลงหรือถ้าเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% จากผลกระทบภาครัฐยังไม่มีเม็ดเงินลงทุนความไม่แน่นอนทางการเมือง และภาวะน้ำมันแพง ซึ่งโดยปกติตลาดไอทีครึ่งปีหลังยอดขายดีกว่าครึ่งปีแรกเสมอเฉลี่ยประ มาณ 10% ต่อปี

แต่ตลาดไอทีไทยยังโอกาสเติบโต ในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางถึงไฮเอนด์ยังกำลังซื้อสินค้าไอทีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ โน้ตบุ๊กผ่านช่องทางจัดจำหน่ายประเภทโมเดลเทรด เช่น บิ๊กซี หรือเดอะมอลล์ ส่วนศูนย์การค้าไอทีจับกลุ่มตลาดระดับล่าง เช่น ไอทีมอลล์ ยังเป็นช่องทางที่มียอดขายสูงสุด

ทางด้านยอดขายสินค้าไอทีครึ่งปีหลังของดีคอมฯ ตั้งเป้าลดลง 10% จากเดิม 20% จากยอดขายเฉลี่ยต่อปี 6 พันล้านบาท โดยที่สินค้าในกลุ่มเครื่องพีซีประกอบยังมีโอกาสมากที่สุด ด้วยยอดขายขั้นต่ำประมาณ 80,000 -100,000 เครื่องต่อเดือน เนื่องจากราคาถูกกว่าและการบริการเทียบเท่าอินเตอร์แบรนด์

ทั้งยังบุกตลาดโมเดลเทรด ซึ่งเป็นตลาดใหม่ จำหน่ายสินค้าไอทีไลฟ์สไตล์ อาทิ พีซี โน้ตบุ๊ก เอ็มพี 3 และพีดีเอ

นอกจากนี้ก็มุ่งปรับปรุงการบริหารจัดการภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยระบบ BMHP (Balan Management for High-performance) สร้างมาตรฐานการให้บริการอาทิ การควบคุมราคา คลังสินค้า นำ เสนอ ส่งและรับผิดชอบสินค้า คาดว่าจะสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้ประกอบการตลาดไอทีต้อง ร่วมกันสร้างมาตรฐานในรูปแบบเดียวกัน ต่อไป

เชื่อไอทีคอมซูเมอร์เป็นตลาดใหญ่

พรเทพ วัชรอำนวย ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มองสถานการณ์ตลาดไอทีครึ่งปีหลังว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้ใช้ทั่วหรือคอนซูเมอร์กลายเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ที่สร้างเม็ดเงิน ในอุตสาหกรรมไอที โดยเฉพาะตลาดโน้ตบุ๊ก ที่ยังมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่องทางการทำตลาด เข้าถึงผู้บริโภค หลายระดับมากขึ้นและราคาถูกลงตามกลไกการแข่งขันของตลาด

แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการไอที สามารถตอบโจทย์และเข้าใจความต้องการของตลาดได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งอินเตอร์แบรนด์ และโลคัลแบรนด์ต้องสร้างความชัดเจนในเรื่องบริการหลังการขาย มากกว่าหาจุดเด่นด้านราคาอย่างเดียว เพื่อสร้างธุรกิจ เติบโตอย่างยั่งยืน

ส่วนการลงทุนไอทีภาครัฐบาล แม้ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนอาจทำให้ตลาดทั้งฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์- แวร์ยังนิ่ง แต่ผู้ประกอบการไอทียังมีการจับตามองทุกโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าภาครัฐและธุรกิจจะต้องมีการลงทุน อย่างแน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงของซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีใหม่

โดยเฉพาะไมโครซอฟท์ วิสต้า ประมาณต้นปีหน้า ซึ่งตรงกับจังหวะที่ภาครัฐมีการใช้งบประมาณ หลังจากความชัดเจน ของรัฐบาลชุดใหม่

ออราเคิลยังเชื่อมั่น ใช้แผนเดิม

ณัฐศักดิ์ โรจนพิเชษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด บอกกับ “Telecom Journal” ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเป็นเฉพาะช่วงสั้นๆ ดังนั้นแผนการตลาดจึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยชูกลยุทธ์การเดินหน้าด้วยกิจกรรมต่างๆ และเน้นการสร้างพาร์ทเนอร์ เพื่อขยายตลาดเข้าไปสู่อุตสาหกรรมต่างๆ รวมไปถึงการสร้างความพร้อมให้กลุ่มทีมงานในทุกกลุ่มโปรดักส์โดยไม่หวั่นต่อสถานการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น

“เรายังไม่มีการเปลี่ยนแผนดำเนินการ เพราะยังมั่นใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของเศรษฐกิจ และการ เมือง โดยยังคาดว่า ปีนี้ออราเคิลจะเติบโตด้วยตัวเลขระดับ 2 หลักซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” ณัฐศักดิ์ กล่าวพร้อมให้ความเห็น เพิ่มเติมว่า สภาพโดยรวมของอุตสาหกรรมไอทีคาดว่าจะได้รับผลกระทบบ้างในหลายเซ็กเตอร์ด้วยกัน เช่น ตลาดภาคราชการที่มีการชะลอตัวอย่างชัดเจน รวมถึงในการส่งออกก็มีผลกระทบอยู่บ้าง ส่วนในภาคโทรคมนาคม ก็จะแข่งขันกันมากขึ้นแต่ในภาคการธนาคารจะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น และเมื่อภาวะทางการเมืองที่คลี่คลายไป ในทางที่ดีจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ

เอไอเอสยังหืดขึ้นคอหลังเจอวิกฤติ

ชำนาญ เมธปรีชากุล รองกรรมการผู้อำนวยการด้านการตลาด บมจ . แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ยอมรับกับ “Telecom Journal” ถึงผลกระทบหนักที่สุดในช่วงที่ผ่านมาคงเป็นช่วงเดือน 4 ช่วงสถานการณ์ทางการเมือง วิกฤตหนัก ส่งผลให้ภาพของเอไอเอสเปลี่ยนไปยอดลูกค้าเริ่มมีการไหลออกพอสมควร และเพื่อรักษาฐานลูกค้า ให้ได้มากที่สุดก็ต้องหากลยุทธ์ด้านราคามาสู้ ด้วยแผนโปรโมชั่นราคาถูกเพื่อดึงลูกค้าให้กลับมา

เพราะถ้าหากไม่ลดราคาก็ไม่รู้ว่าเกมนี้จะยืดไปถึงเมือไหร่ แม้ผลพ่วงทำให้ระบบเน็ทเวิร์ดไม่ดีก็ต้องทำต้องเลือก “ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง” เนื่องจากไม่ต้องการให้ยอดลูกค้าไหลออกมากกว่านี้ หลังจากช่วงเวลานั้นต้องใช้เวลาเข้าช่วย ทุกอย่างเริ่มคลีคลายไปในทางที่ดีขึ้น

“ยกตัวอย่างเหมือนกับเราเลือดไหลต้องกดให้เลือดไหลสุด แล้วก็จะหยุดไปเอง ถ้าหากเราไม่ทำอะไรใช้ปากเป่า ก็จะไหลไม่หยุดเลอะเทอะไปหมด เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตรงนี้ทำให้รู้ว่าสุด ๆ แล้วมันมากแค่ไหน”

สำหรับในครึ่งปีหลังนี้มองว่าการแข่งขันทางด้านสงครามราคาจะเริ่มลดน้อยลง แนวโน้มจะเป็นเช่นนี้จริง ๆ ในช่วงประมาณ เดือน 4 ทุกคนเห็นอยู่แล้วว่า ราคามีผลทำให้เราเกิดปัญหามาก ก็ไม่น่าจะเข้าไปเล่นสงครามราคากันอีก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ตอนนั้นมาถึง ณ เวลานี้ทางด้านคู่แข่งก็พยายามปรับราคาขึ้นมาบ้าง

ส่วนวิธีการรีแบรนด์ภาพพจน์เอไอเอสนั้น ชำนาญ กล่าวว่า ต้องพยายามให้ Positioning Brand แต่ละตัวแข็งแรงมากขึ้น เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น เช่น ระบบจีเอสเอ็มสำหรับคนทำงาน, วัน ทู คอล สำหรับวัยรุ่นในเมือง ส่วนสวัสดี ก็อาจเป็นคนต่างจังหวัดหรือคนต่างจังหวัดมาทำงานในเมืองก็ได้ เป็นการแบ่งคาแรคเตอร์ให้ชัดเจน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของแบรนด์แต่ละตัว โดยคาดว่าประมาณเดือนสิงหาคมจะเริ่มดีขึ้น

จะอย่างไรแล้วห้วงเวลานี้เชื่อว่า ผู้ประกอบการทุกรายเริ่มถอยในเรื่องราคา อย่างเอไอเอสเองก็มีโอกาสทำในเรื่อง Healthy Industry ด้านความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งมีโอกาสทำเรื่อง Engagement ความผูกพันได้ เมื่อผลพวงวิกฤตการเมือง และเศรษฐกิจเบาลงแล้วหน้าที่ต่อไปของเอไอเอส คือมองว่าจะทำอย่างไรให้คนหันมามีความรู้สึกดีกับเราพร้อมๆกับ การพัฒนาเน็ทเวิร์ดที่จะทำให้คุณภาพดีขึ้น

โดยในส่วนด้านมาร์เก็ตติ้งของเอไอเอสนั้น หากให้สรุปถึงกลยุทธ์การตลาดก้าวต่อไปในครึ่งปีหลังนี้ ชำนาญ บอกว่า คงจะเน้นในด้านของราคาค่าบริการดีขึ้น และตระหนักเรื่องการโทรที่มีคุณค่ามีสาระมากขึ้น รวมไปถึงการเน้นทำตลาด ที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งจะเริ่มเห็นชัดมากขึ้นในครึ่งปีหลังนี้แน่นอน

ดิสทริบิวเตอร์ชี้ตลาดมือถือซบ

สุรช ล่ำซำ กรรมการบริหาร บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับ “Telecom Journal” ว่า ตลาดโทรศัพท์ เคลื่อนที่ในช่วงนี้อยู่ในภาวะชะลอตัว ยกเว้นโทรศัพท์มือถือที่เป็นแบรนด์ใหญ่ อย่างโนเกียที่ยังสามารถทำตลาดได้ดี อย่างต่อเนื่องเนื่องจากกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ตลาดโทรศัพท์มือถือแบรนด์อื่น ๆ นั้นยอดขายคงไม่มากนักเพราะตลาดตอนนี้ซบเซามาก ถ้าไม่ใช่ของใหม่ จะขายไม่ได้

“ลองคิดดูว่าในขณะที่ที่ทุกคนขอขึ้นราคาสินค้า แต่สำหรับโทรศัพท์มือถือมีการลดราคาลงเรื่อย ๆ ไม่มีมือถือ รุ่นไหนที่ขึ้นราคาได้เลย เมื่อก่อนเราต้องซื้อมือถือจากเมืองนอกเข้ามา แต่วันนี้ต่างชาติเข้ามาซื้อมือถือ จากเมืองไทยไปเมืองนอก เพราะราคาถูกมาก เช่น แอลจี ช็อกโกแลตที่ ล็อกซเล่ย์ทำอยู่ ทำไมราคาเมืองไทยอยู่ที่ 12,000 บาท แต่ขายได้ไม่มาก” สุรช กล่าว

และถ้าดูในส่วนของไออีซี หรือบลิส – เทล เอง จะเห็นว่ายอดขายไม่กระเตื้องเห็นได้ว่ามีทั้งสองบริษัทมีแนวคิด ที่จะรวมตัวกันทำตลาดมือถือ ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของตลาด การแข่งขันและสภาพเศรษฐกิจทำให้ดิสทริบิวเตอร์ บางรายมีการจับมือกัน

สำหรับกรณี บลิส – เทล กับไออีซี ขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาใยรูปแบบใด ไออีซีทำอะไร และบลิส – เทล ทำอะไร แต่เมื่อร่วมกันแล้วเชื่อว่าจะทำให้ Economy of scale เกิดขึ้นแน่นอน จะทำให้ไออีซีและ บลิส-เทล มีสาขาเพิ่มขึ้น

ส่วนที่ใช้ร่วมกันได้แน่นอนคือในส่วนของแวร์เฮ้าส์ซิ่ง และ การเจรจาต่อรอง จากการซื้อคนเดียวเป็นการซื้อจาก 2 คน การต่อรองจากผู้ผลิตทำได้ดีกว่า เป็นการปรับตัวของดิสทริบิวเตอร์ท่ามกลางภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง และภาวะ เศรษฐกิจ ส่วนล็อกซเล่ย์ยังไม่มีแผนที่จะไปร่วมทำธุรกิจมือถือกับรายอื่น และคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เนื่องจาก บิสิเนสของล็อกเล่ย์ ธุรกิจมือถือไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก แต่ยังมีธุรกิจอื่นด้วย

ที่ผ่านมาล็อกซเล่ย์อยู่ในในตลาดมานาน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และการใช้กลยุทธ์ดั้มราคาของ แบรนด์ใหญ่ แต่บริษัทจะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขัน ซึ่งจะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่แตกต่างจากเดิม เช่น นำโทรศัพท์กิ๊กกะไบต์เข้ามาทำตลาด เป็นโปรดักส์ใหม่ที่ไม่มีคู่แข่ง

จะอย่างไรแล้วแนวโน้มของตลาดมือถือในเมืองไทย จนถึงสิ้นปี 2549 เชื่อว่า จำนวนเครื่องไม่ลดมากนักแต่มูลค่าตลาด ลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจาก โทรศัพท์มือถือที่มีราคาแพงขณะนี้ลงมาค่อนข้างเยอะ อยู่ระดับ 4,000- 5,000 บาท จากปีที่แล้วอยู่ที่ 6,000-7,000 บาท เพราะโทรศัพท์มือถือราคาลดลงเรื่อย ๆ นอกจากนี้จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ก็มีผลทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ

โดยปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จาการขายโทรศัพท์มือถือประมาณ 1,200 ล้านบาท และเชื่อว่ารายได้จากการขาย โทรศัพท์ในปีนี้คงไม่โตไปกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

สามารถฯชิงเร่งขยายตลาดใหม่

วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ผลกระทบ ทางเศรษฐกิจรวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองโดยรวมว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น รวมถึงวิกฤต ราคาน้ำมันแพง อัตราดอกเบี้ยสูง หากมองสถานการณ์โดยรวมของบริษัทแล้วไม่ค่อยมีผลกระทบกับประมาณการรายได้ ของกลุ่มบริษัทมากนัก หรืออาจมีบ้างในส่วนของภาครัฐหน่วยงานราชการ ด้านอำนาจการตัดสินใจลงทุนโครงการต่าง ๆ ต้องชะลอแผนลงทุนออกไป

แต่บริษัทได้รับสิ่งทดแทนกลับมาจากตลาดภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งคาดว่าจะไม่กระทบต่อยอดรายได้ของกลุ่มบริษัท เดิมตั้งไว้ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามเมื่อเศรษฐกิจไทยยังคงผันผวนไม่หยุดนิ่ง ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนจำเป็นต้องรัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งทางออกในการขยายตลาดท่ามกลางช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ … บริษัทฯ ได้หันไป ให้ความสำคัญในการขยายตลาดใหม่ ๆ โดยในครึ่งปีนี้

ในทางเดียวกันบริษัทมีนโยบายเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้น และมุ่งเน้นการเป็น Content Integrator หรือศูนย์รวบรวมข้อมูลที่ครบครันมากขึ้นเสมือนเป็นผู้ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น ทั้งในส่วนของบริการ Bug1113 จะให้ข้อมูล เชิงลึกเฉพาะเรื่องโดยจะเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลที่มากที่สุด และให้บริการที่หลากหลายมากกว่าที่ลูกค้าต้องการ ในรูปแบบของการ Search Engine ซึ่งคาดว่าธุรกิจนี้จะโตอีก 30% ในครึ่งปีหลังนี้

ส่วนบริการ Bug 1900 ปีนี้ นอกจากจะเน้น Content กลุ่มกีฬา หมอดู เกม และความบันเทิงต่าง ๆ แล้ว ยังได้พัฒนา ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้รวดเร็วมากขึ้น เช่นการบริการรายงานผลฟุตบอล รวมทั้ง Content ด้านจิตเวช เป็นที่ปรึกษาต่าง ๆ อย่างครบวงจร ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ขึ้นลงตลอดเวลา อาทิ สายด่วนจราจร สายด่วนเพศศึกษา สายด่วนสุขภาพ เป็นต้น

เช่นเดียวกับบริการ Bug2Mobile นำเสนอความบันเทิงผ่านมือถือ ด้วยการเพิ่มบริการดาวน์โหลดเพลงแบบเต็มเพลง และปีนี้ได้นำ Applications ของเยาวชนที่ได้รับรางวัลในการประกวดโครงการ Samart Innovation Awards ปี 2005 มาพัฒนาออกสู่ตลาดซึ่งคาดว่าสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี คือ บริการ RSS Reader เป็นบริการดึงข้อมูลจากสำนักงานข่าวต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว

และสุดท้าย Bughits บริการดาวน์โหลดเพลงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ www.bughiis.com โดยจะพัฒนา ให้เป็นเว็บไซต์ Community ที่เป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องฮิต ๆ ทั้งเทคโนโลยี กีฬา ภาพยนตร์ และเพลง ที่กำลังเป็นที่นิยม โดยร่วมมือกับค่ายเพลงกว่า 20 ค่ายรวมทั้งการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชอบเพลงเก่า โดยเฉพาะกลุ่มคนไทย ที่อยู่ต่างประเทศ

พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าว่า ธุรกิจคอนเทนต์ในปีนี้จะทำรายได้ให้บริษัท 600 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 หรือประมาณ 22% จากมูลค่าตลาดรวม 2,800 ล้านบาท

ด้าน สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สามารถ ไอ – โมบาย กล่าวเสริมว่า นอกจากจะวางรากฐาน จุดขายตลาดต่างจังหวัดอย่างแข็งแกร่งแล้ว บริษัทยังได้ให้ความสำคัญ ในการขยายตลาดคอนเทนต์สู่ต่างประเทศมากขึ้น โดยการนำรูปแบบ Application ของให้บริการที่ทำให้ประเทศไทยไปร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบังคลาเทศ และคาดว่าธุรกิจโดยรวมในต่างประเทศจะสามารถสร้างรายได้ในปีนี้ ประมาณ 7,000 ล้านบาท

รวมทั้งที่ผ่านมาได้เปิดตลาดในประเทศมาเลเซีย เพราะถือเป็นประเทศที่พร้อมที่สุดที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจนี้ ซึ่งได้รับผลตอบรับทางการ ตลาดที่ดีมาก โดยมีรายได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญต่อเดือนหรือประมาณ 400 ล้านบาท และ นอกจากมาเลเซียแล้ว ก็จะดำเนินงานขยายตลาดต่อไปที่ประเทศ อินโดนีเซียและ บังคลาเทศ ด้วยการใช้กลยุทธ์ นำแบรนด์โปรดักส์ที่ติดตลาดอยู่ก่อนอย่าง โนเกีย และโมโตโรล่า เข้าไปเปิดตลาดให้คนในประเทศรู้จักกลุ่มสามารถก่อน หลังจากนั้นจะนำโปรดักส์ที่ผลิตเองไปเปิดตลาดตาม

“เราเชื่อมั่นว่าหากเราสร้างจุดแข็ง และจุดขายทั้งสองตลาดทั้งต่างจังหวัด และตลาดต่างประเทศ ให้เกิดความแข็งแกร่งแล้วไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ก็จะสามารถผ่าวิกฤตนั้นออกมาได้เช่นกัน”

อย่างไรก็ตามท้ายสุดแล้ว ศ.นพ. สุชัย เจริญรัตนกุล รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ให้ความมั่นใจถึงเรื่องของเศรษฐกิจในภาพรวม จากที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศ ที่ยังมีท่าทีลังเล เนื่องจากกังวลเรื่องทิศทางการเมืองที่ไม่ชัดเจนทั้งด้านการเมืองและเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและส่วนตัวก็เป็นห่วงเรื่องนี้มาก

โดยเฉพาะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับทิศทางการเมืองและกฎหมาย ซึ่งต้องมีหลักเกณฑ์ในการบังคับใช้ที่ชัดเจน และถ้ามีการเลือกตั้งตามกำหนดที่วางไว้ก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น

“การบังคับใช้กฎหมายต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน แต่ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนประเทศต่างๆ ก็จะไม่ยอมรับ ทำให้รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะไทยอยู่ในเวทีโลกจึงย่อมมีผลกระทบกับเศรษฐกิจแน่นอน ถ้าต้องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *