ในขณะที่ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ต่างเร่งลงทุนทางด้านเครือข่ายรับสงครามราคารอบใหม่ ส่วนทางด้านบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (ทรู) ยังคงสร้างยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำชีวิต Convergence Lifestyle โดยการผสานบริการต่างๆ ภายในกลุ่มทรู เพื่อการตอบสนองตรงใจทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
ปัจจุบันทั้งดีแทคและเอไอเอสกำลังอยู่ในระหว่างการลงทุนพัฒนาด้านเครือข่าย โดยล่าสุดเอไอเอสมีการใช้เงินลงทุนกว่า 3.3 หมื่นล้านบาทในการพัฒนาด้านเครือข่าย ทั้งนี้นับเป็นเงินลงทุนทั้งหมดที่เอไอเอสลงไปแล้วด้านเครือข่ายกว่า 1 แสน 6 หมื่นล้านบาท โดยการลงทุนในครั้งนี้นับเป็นมูลค่ามากที่สุดที่เคยใช้ในการพัฒนาด้านเครือข่ายทำให้สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 24 ล้านรายในสิ้นปี รวมทั้งยังออกแคมเปญโฆษณา “มั่นใจเครือข่ายเอไอเอส” ด้วย ภาพยนตร์โฆษณาแนวใหม่ จำนวน 9 ตอน ความยาว 1 นาที ด้วยงบกว่า 50 ล้านบาท เพื่อตอกย้ำและสร้างความมั่นใจในเครือข่ายแก่ผู้บริโภคทั่วไป
ในขณะที่ดีแทคก็กำลังดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพเครือข่ายอย่างต่อเนื่องถึง 1.2 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยอัตราการโทรสำเร็จ (Success rate) ภายในเครือข่าย (Internal Network) เพิ่มขึ้นสูงถึง 98% ขณะที่อัตราการโทรสำเร็จข้ามเครือข่าย (External) อยู่ที่ 95% ในช่วงเวลาปกติ
ขณะที่เอไอเอสก็ย้ำถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพด้านเครือข่ายจากการสำรวจด้านการใช้งานของลูกค้าตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ถึง1 ต.ค. พบว่า อัตราการโทร.ประสบความสำเร็จของลูกค้าในช่วงเวลาปกติจะอยู่ที่ 98.5% ขณะที่ช่วงพีก หรือมีปริมาณการใช้งานมากจะอยู่ที่ 96.68% และสัดส่วนการโทร.ไม่สำเร็จ สายหลุด (Call Drop) จะอยู่ที่ 0.75% แต่ภายหลังการขยายเครือข่ายล่าสุดภายในสิ้นปีนี้ เอไอเอสมั่นใจว่าอัตราการโทร.สำเร็จจะสูงถึง 99%
ด้วยงบลงทุนครั้งใหม่ของเอไอเอสกว่า3.3 หมื่นล้านบาทนั้น มุ่งไปที่เป้าหมาย 3 ประเด็นหลักคือ 1.ความสามารถในการรองรับการใช้งาน 2.การขยายความครอบคลุมของเครือข่าย และ3.การพัฒนาคุณภาพการใช้งาน โดยคาดว่าสิ้นปีเอไอเอสจะมีปริมาณชุมสาย 63 แห่งและสถานีฐาน 11,861 แห่งทั่วประเทศ
เอไอเอสมีการปรับปรุงด้านเครือข่ายทั้งสรรหาเทคโนโลยีและรูปแบบการทำงานด้านเครือข่ายเพื่อให้มีเครือข่ายที่มีคุณภาพโทร.ติดง่ายแม้ในช่วงเวลาที่มีการโทร.หนาแน่นด้วยเทคนิคพิเศษในการขยายช่องสัญญาณ ติดตั้งเครือข่ายพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในอาคารและที่จอดรถ รวมทั้งมีเครือข่ายสำรองฉุกเฉิน เอไอเอสเพิ่มทั้งคุณภาพเครือข่ายของเอไอเอสและเพิ่มในส่วนการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นไปพร้อมกัน เพื่อแก้ปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายอื่นด้วย
นอกจากนี้ด้วยพฤติกรรมของลูกค้าที่เริ่มนิยมใช้บริการด้านข้อมูล (non voice/data) มากยิ่งขึ้น โดยมีสัดส่วนราว 5 ล้านเลขหมายจากปริมาณผู้ใช้งานทั้งหมด ดังนั้นเอไอเอสจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยี EDGE เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้การใช้งานข้อมูลมีความเร็วโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 80 kbps
การที่ เอไอเอส ออกมาแสดงความพร้อมด้านเครือข่ายด้วยงบลงทุนก้อนใหม่กว่า 3.3 หมื่นล้านบาทพร้อมโปรโมชั่นเอาไปเลยบาทเดียวทุกเครือข่ายทั้งของเอไอเอสวัน-ทู-คอล! และสวัสดี เสมือนเป็นสัญญาณบอกให้เห็นได้ว่านับจากนี้ต่อไปเอไอเอสพร้อมที่จะสู้ในทุกรูปแบบ หลังจากการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดด้วยการโชว์ตัวเลข successful rate ที่เพิ่มสูงถึง 98% ขณะที่จำนวน dropped calls ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นผลจากการทุ่มเทเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง
ส่วนทางด้าน ดีแทค ก็ได้เปิดเผยว่ารายงานล่าสุดซึ่งทำการสำรวจเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา อัตรา Call Success ทั้งภายในเครือข่ายและข้ามเครือข่ายในเวลาปกติเพิ่มสูงขึ้นในระดับที่ดีเยี่ยม โดยในช่วงเวลาปกติ (Off-Peak) อัตราการโทรสำเร็จภายในเครือข่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 98% ขณะที่นอกเครือข่ายอยู่ในระดับ 95%
ขณะเดียวกัน อัตราการโทรสำเร็จในช่วงพีค (Peak) ของทั้งในเครือข่าย และนอกเครือข่ายของดีแทคเองก็เพิ่มขึ้น โดยอยู่ในระดับที่ 96% และ 85% ตามลำดับ ซึ่งอัตราการโทรสำเร็จของทั้ง 2 ส่วนนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติได้กำหนดไว้ว่าการเรียกสำเร็จ ณ จุดเชื่อมต่อเครือข่ายโทรคมนาคม ต้องมีค่าไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 โดยคิดจากค่าเฉลี่ยของปริมาณการเรียกขาออกทั้งหมดที่พยายามส่งออกจากโครงข่ายโทรคมนาคมของตน ณ จุดเชื่อมต่อโครงข่ายนั้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันดีแทคมีอัตราการโทรสำเร็จทั้งภายในและภายนอกเครือข่ายสูงกว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่นๆ
ส่วนทางด้านความพร้อมด้านเครือข่ายสัญญาณของ ดีแทค ซึ่งในปีนี้ ดีแทคได้ลงทุนไปแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายสถานีฐานเพิ่มอีก 1,500 แห่ง รวมเป็น 6,674 สถานี เพื่อขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมเท่าคู่แข่งทั้งในภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งทำให้สามารถรองรับการใช้งานในเครือข่ายในเวลาเดียวกันถึง 12 ล้านเลขหมายทั้งนี้ยังได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ E1 เพิ่มขึ้นอีก 750 ชุด รวมเป็น 1,850 ชุดในปัจจุบัน เพื่อเชื่อมสัญญาณตรงกับเอไอเอส และ 1,920 ชุด เพื่อเชื่อมวงจรสัญญาณตรงกับทรูมูฟ
โดยการลงทุนดังกล่าวเป็นส่วนต่อเนื่องในการพัฒนาระบบเครือข่ายในปี 2548 ที่ดีแทคได้ลงทุนไปแล้วมากกว่าแปดพันห้าร้อยล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่า ดีแทคจะมีสถานีฐานที่ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศเท่ากับคู่แข่งภายในปี 2549 นี้แน่นอน
นอกจากนี้ ดีแทค ยังได้ชวนโอเปอเรเตอร์มือถือทุกรายขยายเน็ตเวิร์กเชื่อมสัญญาณตรงรองรับสงครามราคาครั้งใหม่ ซึ่งดีแทค เชื่อสงครามราคารอบใหม่เกิดขึ้นแน่จากการที่ผู้นำการตลาดอย่าง เอไอเอส เริ่มจุดพลุประกาศแล้ว โดยเรียกร้องให้ผู้ประกอบการระบบมือถือทุกรายเร่งดูแลเน็ตเวิร์กของตน
ส่วน ดีแทค พร้อมและยินดีเจรจาเชื่อมสัญญาณตรงกับทุกโอเปอเรเตอร์เพิ่มเติม เพื่อป้องกันปัญหาเน็ตเวิร์กล่ม ซึ่งเคยทำความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคอย่างหนักมาแล้วในไตรมาสสองเนื่องจากเริ่มมีสัญญาณสงครามราคารอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เพราะไม่ว่าจะแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพียงใดก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นหลัก หากการแข่งขันรุนแรงโดยไม่มีความพร้อมรองรับก็จะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมมือถือในภาพรวม
ส่วนทางด้าน ทรู ใช้การกำหนดเกมการตลาดด้วยตัวเอง ไม่เป็นผู้ตามดำเนินตามเกมของผู้นำตลาดอย่าง เอไอเอส หรือผู้ท้าชิงอย่าง ดีแทค ได้แต่ดำเนินยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำชีวิต Convergence Lifestyle ที่ตนเองเป็นผู้กำหนดเกมขึ้นมา โดยการผสานบริการต่างๆ ภายในกลุ่มทรู เพื่อการตอบสนองที่ตรงใจทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมทั้งยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาฐานลูกค้าได้ในระยะยาว เนื่องจากผู้ใช้บริการที่ใช้บริการในกลุ่มทรู มากกว่า 1 บริการ จะตระหนักและสัมผัสถึงคุณค่าของบริการมากกว่าจะคำนึงถึงปัจจัยด้านราคา ซึ่งในอนาคตจะทำให้ปัญหาการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะของทรูมูฟ มีผลกระทบต่อบริษัทน้อยลง
ในขณะเดียวกัน จะเป็นโอกาสให้บริษัทสามารถเพิ่มฐานลูกค้าได้อีกด้วย การนำเสนอบริการอื่นๆ ที่มีอยู่ในกลุ่มไปพร้อมๆ กัน ซึ่งมีแต่การกล่าวว่าเครือข่ายของทรูมูฟครอบคลุมประเทศถึง 92% แล้ว ซึ่งถ้ามีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 90% ก็จัดเป็นเกรดเอแล้ว เน้นเฉพาะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยการนำเสนอการผสมผสานบริการต่างๆในเครือทรู เพื่อนำเสนอความคุ้มค่าคุ้มราคาให้แก่ลูกค้ารวมทั้งสร้างบริการและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสีสันที่ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มด้วย